บ้านห้วงบอน หมู่ 5 ตำบลไม้รูด เป็นชุมชนประมงที่อยู่ริมชายหาด มีการทำกิจกรรมอนุรักษ์ เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำที่ลดจำนวนลง เพราะอาชีพหลักของชาวบ้านในบ้านห้วงบอนคือ อาชีพประมงชายฝั่ง เรือประมงส่วนใหญีมีขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 3 วา การทำประมงจึงออกไปทำการประมงเพียงบริเวณหน้าหมู่บ้าน ไม่สามารถออกไปยังที่ไกลๆ ได้ กิจกรรมที่ทำมีทั้งการปล่อยพันธุ์ส้ตว์น้ำ และการทำธนาคารปูม้า เพื่อช่วยให้ทรัพยากรสัตว์น้ำฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยจะปล่อยลูกปูที่เพาะฟักในบริเวณริมชายหาดใกล้ๆ ที่ตั้งธนาคารปูม้า
หลังจากทำธนาคารปูม้าแล้ว แกนนำกลุ่มมองว่าการปล่อยลูกปูลงสู่ทะเล จำเป็นต้องมีที่อาศัยและหลบภัยให้กับลูกปูที่ปล่อยลงไปด้วย จึงได้นำเอาภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ทำเถากระฉอดเพื่อใช้ดักลูกปลาเก๋ามาใช้เป็นบ้านปู เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในแต่ละครั้งที่ยกเถากระฉอดขึ้นเพื่อจับลูกปลาเก๋าจะพบว่ามีลูกปลาชนิดอื่นๆ และมีลูกปูม้ารวมอยู่ด้วย จึงชักชวนให้ทุกคนช่วยกันทำเถากระฉอดไปทิ่งในทะเลให้มากขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและหลบภัยของลูกปู รวมถึงสัตว์น้ำวัยอ่อนชนิดอื่นๆด้วย
กระบวนการและวิธีการ
เถากระฉอดที่ชาวบ้านร่วมกันทำและนำไปทิ้งนั้นค่อนข้างได้ผลดีมีลูกปูไปอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เถากระฉอดยังมีข้อจำกัดในเรื่องอายุการใช้งานที่ไม่นานนัก ประกอบกับในช่วงฤดูมรสุมเถากระฉอดก็จะถูกคลื่นลมพัดเสียหาย แต่ทางชุมชนก็ยังไม่สามารถหาวิธีการอื่นที่ชุมชนสามารถดำเนินการเองได้ จึงปรึกษาหารือและขอความสนับสนุนจากศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 จ.ระยอง โดย แนะนำให้ใช้ซั้งเชือก พร้อมทั้งให้การสนับสนุนซั้งเชือกนำมาทิ้งในชุมชนจำนวน 20 ลูก ในปี 2555 และต่อมาในปี 2556 ประมงจังหวัดก็สนับสนุนซั้งเชือกให้ชุมชน จำนวน 100 ลูก และปี 2558 2559 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสนับสนุนซั้งเชือกให้ชุมชนเพิ่มเติมอีก ในปัจจุบันบ้านคลองมะโรทิ้งซั้งเชือกไปแล้วกว่า 150 ลูก แต่ปัจจุบันมีทุ่นหลุดทำให้ซั่งเชือกจมกว่าเกือบร้อยละ 50
การทิ้งซั้งเชือกที่บ้านห้วงบอนจะทิ้งห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร ตลอดตั้งแต่ปากคลองมะโรถึงหน้าหาดไพลิน ลักษณะการทิ้งซั้งเชือกบ้านคลองมะโรจะทิ้งกระจายเป็นจุดๆ แต่ละจุดทิ้งเป็นวงกลมรอบบ้านปลา(ยางรถยนต์เก่า) การทิ้งซั้งเชือกนี้เป้าหมายหลักเพื่อเป็นแหล่งหลบภัยและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำให้สามารถเจริญเติบโต จึงได้กำหนดให้ในบริเวณทิ้งซั้งเชือกเป็นเขตอนุรักษ์ ห้ามทำการประมงหลายประเภทที่อาจะส่งผลกระทบต่อซั้งเชือก และสัตว์น้ำวัยอ่อนที่อาศัยซ้งเชือกเป็นที่อาศัย
บริเวณเขตอนุรักษ์บ้านของคลองมะโรก็คือบริเวณที่ทิ้งซั้งเชือก คลอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ชายหาดออกไปประมาณ 2-300 เมตร ยาวตลอดตั้งแต่คลองมะโรถึงหาดไพลิน ก่อนกำหนดพื้นที่ทิ้งซั้งเชือกและกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ ได้มีการประชุมหารือและทำความเข้าใจร่วมกันของชาวบ้านในชุมชนก่อน เพื่อสร้างข้อตกลงที่เกิดจากความเห็นพ้องของชุมชน และหลังจากการประชุมเกิดข้อตกลงในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อนุรักษ์ขึ้นดั้งนี้คือ ห้ามใช้ยาน็อค ห้ามวางอวนลอม ห้ามใช้ลอบพับ และมีข้อกำหนดเพิ่มเติมอีกคือ ห้ามใช้เครื่องมือดำน้ำจับหอยแมลงภู่ แม้ว่าข้อตกลงเหล่านี้จะเกิดจากความเห็นพ้องของชุมชน แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเนื่องจากมีอาชีพวางอวนปลากระบอก ซึ่งต้องวางอวนในบริเวณเขตอนุรักษ์ หากมีการกันเขตและห้ามวางอวนจะได้รับผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ
แม้ว่าคนที่ไม่เห็นด้วยจะมีเพียงไม่กี่ราย แต่ก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย เพื่อป้องกันการบาดหมางกันในชุมชน จึงต้องพูดคุยสร้างความเข้าใจให้เห็นความจำเป็นในการฟื้นฟูทรัพยากรและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงต้องช่วยกันหาทางออกสำหรับผลกระทบด้านอาชีพของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ
ผลการดำเนินงานและแผนในอนาคต
หลังจากทิ้งซั้งเชือกเพียงไม่นาน ก็มีทั้งลูกปู ลูกปลา มาอยู่ในบริเวณซั้งเชือก รวมถึงมีหอยแมลงภู่มาเกาะที่ซั้งเชือก นอกจากประโยชน์ตัวของซั้งเชือก การกำหนดให้บริเวณทิ้งซั้งเชือกเป็นแนวเขตอนุรักษ์ ยังส่งผลให้ในเขตอนุรักษ์มีปลาหลากหลายชนิดและจำนวนมากขึ้น ดูได้จากการสัตว์น้ำที่จับได้จากการตกปลา(สามารถตกปลาในเขตอนุรักษ์ได้) นอกจากจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำแล้ว ซั้งเชือกยังช่วยชะลอความเร็วแรงของคลื่น ช่วยป้องกันการกัดเซาะของชายฝั่งได้อีกด้วย
ปัญหาอุปสรรค