ข้าวช่อพร้าว กลับบ้าน

เขียนโดย กนกพรรณ สุพิทักษ์
มูลนิธิชีวิตไท

ในช่วงเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ เป็นการลงพื้นที่เพื่อสรุปกกิจกรรม การดำเนินงานตามแผนที่ผ่านมาในระยะเวลา 1 ปี  และวางแผนสำหรับช่วงเวลาที่เหลือจนกระทั่งเดือนกันยายน 2556  ซึ่งประชุมปรึกษาหารือกันสองส่วนทั้งในส่วนของรายพื้นที่ และสรุปรวม  3 ตำบล ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น  ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวข้าวในนาที่กำลังสุกได้ที่ของชาวนา

การทดลองทำนาข้าวทนน้ำท่วม(นาปี) พันธุ์ข้าวช่อพร้าว ครั้งที่ 2

หลังจากช่วงเวลาที่ฝนมาก หรือช่วงเวลาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่จองถนน ผ่านไปในเดือนธันวาคม ซึ่งพบว่าปี
พ.ศ. 2555 นี้มีปริมาณฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับการขังของน้ำเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องจากมีการขุดลอกคลองตลอดสาย และเปิดทางน้ำไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาบริเวณบ้านจงเก จึงทำให้น้ำไหลสะดวกไม่ขังในนาข้าวนานจนข้าวเสียหาย  สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเลื่อนเวลาทำนาให้เร็วขึ้นกว่าปี พ.ศ. 2554  ทำให้ข้าวได้รับปริมาณน้ำที่พอดีกับการเจริญเติบโต  การทำนาทดลองในครั้งนี้เริ่มทำในช่วงต้นฤดูกาลเสมือนในอดีต
ชาวนาเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์  ใครเริ่มทำนาก่อนข้าวก็จะสุกก่อน การเก็บเกี่ยวข้าวช่อพร้าวของสมาชิกร่วมทดลอง  เฉลี่ยผลผลิต 450 – 500 กิโลกรัมต่อไร่  ซึ่งจากการเปรียบเทียบในปริมาณที่เท่ากัน  ข้าวช่อพร้าวมีน้ำหนักดีกว่าข้าวเล็บนก  ลำต้นยืดแข็ง สูงขึ้นตามความสูงของน้ำ  และข้าวเปลือกยังขายได้ในราคาเดียวกัน  ในส่วนของรสชาติข้าวช่อพร้าว จะมีความมันและนวลกว่าข้าวเล็บนก  ซึ่งสมาชิกได้เก็บส่วนหนึ่งไว้บริโภคในครัวเรือน  บางคนก็ขายหลังจากเก็บเกี่ยวทั้งหมด  และส่วนหนึ่งเก็บไว้เพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไป

ในส่วนของพื้นที่ทดลองทำนารวมนั้น ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์  พื้นที่ปลูกข้าวช่อพร้าว 1 ไร่ 2 งาน  สมาชิกได้ร่วมมือกันเกี่ยวแบบเอาแรง  มีการแข่งขันเก็บข้าวโดยใช้แกะ หรือ แกละ เก็บข้าวทีละรวงมีการรับประทานอาหารร่วมกัน  รวมได้ข้าวช่อพร้าว 551 เรียง หรือ ประมาณ 500 กิโลกรัม   ซึ่งได้ทำการแจกจ่ายให้กับสมาชิก เพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ฤดูกาลทำนาปีครั้งต่อไป  คนละ 2 ไร่ หรือ 30 กิโลกรัม  ซึ่งนอกจากสมาชิกที่เข้าร่วมการทดลองปลูกข้าวช่อพร้าวแล้วนั่น  ก็ยังมีชาวนา 2 – 3 คน ที่ไม่ได้เข้าร่วมทดลองหันมาให้ความสนใจปลูกข้าวช่อพร้าวในพื้นที่ของตนเองด้วยเช่นกัน  ซึ่งผลการทดลอง เป็นที่พอใจของสมาชิกทั้งลักษณะของต้นข้าว  ผลผลิต  และความทนทาน ลักษณะรวงเก็บง่าย คอรวงแข็ง  ทำให้การทำนาในครั้งต่อไปจะขยายพื้นที่การปลูกด้วยตนเอง
ความมั่นใจในพันธุ์ช่อพร้าวส่วนหนึ่งมาจากที่ส่วนใหญ่ชาวนาเคยปลูกข้าวพันธุ์นี้มาก่อนแล้วในอดีต   แต่ได้ทิ้งไปและเปลี่ยนมาปลูกข้าวเล็บนกแทนจนกระทั่งปัจจุบัน     และเมื่อหันกลับมาทดลองปลูกอีกครั้ง    จึงมั่นใจว่าข้าวพันธุ์ช่อพร้าวเหมาะสมกับพื้นที่นาลุ่มของจองถนน  เนื่องจากเป็นข้าวขึ้นน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน

ในพื้นที่ หมู่ 5  เป็นพื้นที่ติดทะเลสาบอีกด้านหนึ่ง มีพื้นที่นาทดลองของสมาชิกอยู่  ซึ่งเป็นนาลึกและต่ำกว่าระดับถนนประมาณ 2 เมตร  ต้องใช้กะละมัง หรือเรือลอยในน้ำเพื่อวางเรียงข้าวที่เก็บได้  ซึ่งจากการนำต้นข้าวมาวัดระดับความสูง พบว่ามีความสูงประมาณ 2.50 เมตร

รายงานจากกรอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า ” ช่วงวันที่ 22 –  28  กุมภาพันธ์ มีลมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดเข้าปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล  ทำให้ฝนตกอย่างต่อเนื่องในจังหวัดพัทลุง ก่อให้เกิดความเสียหายกับข้าวสุกแล้วที่รอการเก็บเกี่ยวในนา  ทำให้มีพื้นที่เสียหายในจังหวัดพัทลุง ทั้งยางพารา และนา ประมาณ 50,000 ไร่ ในพื้นที่ 6 อำเภอ ”  ซึ่งในนาทดลองของสมาชิกที่เก็บเกี่ยวไม่ทันมีอยู่ 3 ราย เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่ม  นาลึก ใกล้ทะเลสาบ  ต้องใช้แรงงานคนเก็บเกี่ยวจึงเก็บเกี่ยวไม่ทัน  ประกอบกับช่วงฝนตกนอกฤดูกาลอย่างต่อเนื่อง 2-3 วัน ทำให้น้ำฝนที่ตกมาขังในพื้นที่ และน้ำทะเลหนุน ส่งผลให้ผลผลิตเสียหาย น้ำท่วมขัง  รวงข้าวจมน้ำ เกิดข้าวงอกในรวง  เปลือกเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแช่น้ำหลายวัน หลังจากเก็บกี่ยวและนำมาสี ข้าวจะกลายเป็นข้าวหัก สีได้ปลายข้าว เป็นผลผลิตคุณภาพต่ำ ต้องให้เป็ดไก่กิน  ขายไม่ได้ราคา
ซึ่งแผนงานในไตรมาสต่อไป คือ

  1. แปลงทดลองปลูกข้าวพื้นบ้าน  ในนาปรังเพื่อหาพันธุ์พื้นบ้านที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ
  2. การจัดการน้ำในแปลงนาของตนเอง การปรับคันนา และปรับพื้นนาให้เหมาะสมกับการกักเก็บน้ำฝน และการกระจายน้ำทั่วแปลง ในช่วงดวลาที่ปริมาณน้ำฝนมีน้อย
  3. การจัดเวทีสรุปบทเรียนการทำนาทนน้ำท่วมร่วมกับศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง สำนักงานเกษตรอำเภอ  สำนักงาน

เกษตรจังหวัด  และเครือข่าย เพื่อสรุปบทเรียน  ผลการทดลอง  และการหาแนวทางการร่วมมือเพื่อปกป้องพื้นที่นาต่อไป

Scroll to Top